Wheezing ในเด็ก เป็น Asthma หรือ Bronchiolitis
บทความโดย รศ.นพ.รัฐพล อุปลา กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
.
การแยกโรคในผู้ป่วยที่มีอาการไอและตรวจร่างกายได้ยินเสียงหวีดในเด็กระหว่างโรคหืด (Asthma) และโรคหลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง แพทย์จะต้องใช้ข้อมูลจากประวัติ ตรวจร่างกาย และบางครั้งอาจจะต้องทดสอบเพิ่มเติมในการประเมินผู้ป่วย โดยวิธีการแยกโรคมีดังนี้

การแยกโรค

  1. ประวัติ
    • โรคหืด (Asthma): มักพบในเด็กที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้หรือโรคหืด ประวัติเสียงหวีดที่เกิดซ้ำ บางครั้งอาจสัมพันธ์กับการออกกำลังกายหรือการสัมผัสสิ่งกระตุ้น เช่น ฝุ่น หรือละอองเกสร ในผู้ป่วยที่เคยมีอาการมาก่อนหน้านี้ มักจะตอบสนองดีต่อการได้รับยาขยายหลอดลม
    • โรคหลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis): มักเป็นการตรวจพบเสียงหวีดครั้งแรกในผู้ป่วย พบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวหรือช่วงที่โรคติดเชื้อไวรัส Respiratory Syncytial Virus (RSV) ระบาด ประวัติมักจะพบอาการหวัดหรือมีไข้นำมาก่อนเสียงหวีด และมีคนในบ้านเดียวกันไม่สบายหลายคน
  2. การตรวจร่างกาย
    • โรคหืด (Asthma): อาจพบเสียงหวีดเมื่อใช้หูฟังที่ปอดทั้งสองข้าง หรือตรวจพบอาการหายใจลำบาก อาจพบลักษณะของโรคภูมิแพ้ที่มักเกิดร่วมด้วยเช่น ภูมิแพ้ผิวหนังและโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้
    • โรคหลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis): อาจเห็นสัญญาณของการหายใจเร็วกว่าปกติ มีเสียงหวีด และอาจมีปีกจมูกบานเมื่อหายใจ หรือตรวจพบเสียงผิดปกติ (crackles) บริเวณปอด
  3. การทดสอบเพิ่มเติม
    • โรคหืด (Asthma): อาจทำการทดสอบสมรรถภาพปอด ในเด็กที่สามารถให้ความร่วมมือ การตอบสนองต่อยาขยายหลอดลม หรือการเปลี่ยนแปลงของ Peak expiratory flow rate สามารถช่วยยืนยันการวินิจฉัย
    • โรคหลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis): การตรวจหาไวรัส RSV หรือไวรัสทางเดินหายใจอื่น ๆ

การรักษา

การรักษาหลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลันและอาการกำเริบของโรคหืดในเด็กนั้นต้องใช้การดูแลแบบประคับประคองร่วมกับการบำบัดเฉพาะทาง แม้ว่าการดูแลแบบประคับประคองจะเป็นแนวทางหลักในการรักษาหลอดลมฝอยอักเสบ เนื่องจากสาเหตุเกิดจากไวรัส ซึ่งร่างกายจะต้องต่อสู้กับการติดเชื้อไปตามธรรมชาติ แต่อาการกำเริบของโรคหืดมักต้องใช้การรักษาที่ตรงจุดมากขึ้น ดังรายละเอียดโดยสังเขปต่อไปนี้
.

การรักษาหลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลัน

การรักษาหลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลันมีหลักการคือดูแลแบบประคับประคอง ซึ่งรวมถึงการให้สารน้ำและออกซิเจนอย่างเหมาะสม และปัจจุบันแนะนำให้ใช้น้ำเกลือไฮเปอร์โทนิกแบบพ่นละออง (3% Hypertonic Saline) ส่วนการใช้ยาขยายหลอดลมและคอร์ติโคสเตียรอยด์ในโรคหลอดลมอักเสบยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ยาขยายหลอดลมสามารถใช้ได้แต่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าสนับสนุนการใช้เป็นประจำ ในทำนองเดียวกัน ไม่แนะนำให้ใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นยาหลักในการรักษา ยกเว้นในกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคหืดและทดลองพ่นยาแล้วอาการดีขึ้น อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่ม anticholinergic ในผู้ป่วยที่มีหลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลันเพราะจะมีผลทำให้เสมหะข้นเหนียว
.

การรักษาอาการกำเริบของโรคหอบหืด

แนะนำให้ใช้ยาขยายหลอดลมทั้งกลุ่ม beta2 agonist ร่วมกับ anticholinergic และให้ใช้ยาพ่น nebulize corticosteroid ร่วมกับ systemic corticosteroid ในรายที่มีอาการรุนแรง หากไม่ดีขึ้นอาจต้องใช้ยาขยายหลอดลมกลุ่ม Magnesium sulphate ร่วมด้วย โดยยาเหล่านี้จะช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการหลอดลมหดเกร็งในผู้ป่วยโรคหืดเฉียบพลัน
.

เอกสารอ้างอิง

  1. Üzüm Ö, Kanık A, Eliaçık K, Hortu HÖ, Demirçelik Y, Yan M, et al. Comparison of clinically related factors and treatment approaches in patients with acute bronchiolitis. Turk Pediatri Arsivi. 2020;55(4):376–85.
  2. Pandit P, Hoque MA, Pandit H, Dhar SK, Mondal D, Ahmad F. Efficacy of Nebulized Hypertonic Saline (3%) Versus Normal Saline and Salbutamol in Treating Acute Bronchiolitis in A Tertiary Hospital: A Randomized Controlled Trial. Mymensingh Med J MMJ. 2022 Apr;31(2):295–303.
  3. Kirolos A, Manti S, Blacow R, Tse G, Wilson T, Lister M, et al. A Systematic Review of Clinical Practice Guidelines for the Diagnosis and Management of Bronchiolitis. J Infect Dis. 2020 Oct 7;222(Suppl 7):S672–9.
  4. Wang XF, Hong JG. Management of severe asthma exacerbation in children. World J Pediatr WJP. 2011 Nov;7(4):293–301.